Author: Republished By Echobase.ai
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ออสเตรเลียได้กลายเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานทดแทน โดยเฉพาะในด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Charles Darwin (CDU) ในเขตชานเมืองทางตอนเหนือได้พัฒนาระบบการพยากรณ์แสงอาทิตย์ที่น่าตื่นเต้นชื่อว่า FNS-Metrics ระบบนี้ไม่ได้ใช้แค่เทคนิค AI ขั้นสูงเท่านั้น แต่ยังผสมผสานความรู้ตามฤดูกาลดั้งเดิมจากชนเผ่า First Nations ทำให้ความแม่นยำในการพยากรณ์การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นถึง 14.6%
การผสมผสานความรู้ตามฤดูกาลของชนเผ่า First Nations ถือเป็นสิ่งสำคัญ ตลอดหลายชั่วอายุคน ชนพื้นเมืองออสเตรเลียได้สังเกตการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสิ่งแวดล้อมในช่วงฤดูกาลต่างๆ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับรูปแบบสภาพอากาศและศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ ด้วยการผสมผสานภูมิปัญญาโบราณนี้เข้ากับเทคนิค AI สมัยใหม่ นักวิจัยหวังที่จะสร้างแบบจำลองการพยากรณ์ที่แข็งแกร่งและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงการวางแผนพลังงานทดแทน ทำให้การจัดการไฟฟ้าและความเสถียรของกริดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Charles Darwin กำลังเพิ่มประสิทธิภาพการพยากรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ผ่าน AI และความรู้ดั้งเดิม
FNS-Metrics ทำงานโดยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก รวมถึงการพยากรณ์อากาศ รูปแบบการผลิตในอดีต และความรู้ตามฤดูกาลจากชุมชน First Nations การรวมกันที่เป็นเอกลักษณ์นี้ช่วยให้ระบบสามารถทำนายผลผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้แม่นยิ่งขึ้น จากข้อมูลของนักวิจัย วิธีการนี้ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตพลังงานเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนการรวมมุมมองของชนพื้นเมืองเข้าในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วย
นอกจากนี้ การนำระบบ FNS-Metrics ไปใช้คาดว่าจะทำให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากออสเตรเลียมีการพึ่งพาพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้น ความต้องการพลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้การทำนายที่แม่นยำเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญ
ความคิดริเริ่มนี้เชื่อมโยงกับแนวโน้มที่กว้างขึ้นของการผสมผสานความรู้ทางนิเวศวิทยาดั้งเดิมเข้ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งเป็นการตระหนักถึงความเข้าใจลึกซึ้งที่ชุมชนชนพื้นเมืองมีต่อสิ่งแวดล้อมของตนเอง โดยส่งเสริมความยั่งยืนและให้แนวทางแก้ปัญหาทางพลังงานในปัจจุบัน ระบบนี้แสดงให้เห็นว่าทั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่และภูมิปัญญาโบราณสามารถทำงานร่วมกันได้ดี
ขณะที่ออสเตรเลียมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว โปรเจ็กต์อย่าง FNS-Metrics ชี้ให้เห็นความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างเจ้าของความรู้ดั้งเดิมและนักวิจัยสมัยใหม่ วิธีการนี้ช่วยพัฒนาผลลัพธ์ด้านพลังงานให้ดีขึ้น รวมทั้งสร้างความเคารพและการยอมรับต่อความรู้ของชนเผ่าในระบบวิทยาศาสตร์
ในอนาคต ทีมวิจัยจาก CDU มีความตั้งใจที่จะขยายโครงการของตนไปยังแหล่งพลังงานทดแทนอื่น ๆ เช่น พลังงานลมและพลังน้ำ ความสำเร็จของระบบ FNS-Metrics อาจเป็นตัวอย่างสำหรับการบูรณาการความรู้ดั้งเดิมในหลายสาขาวิทยาศาสตร์ในอนาคต ส่งเสริมแนวทางที่รวมทุกด้านในการวิจัยและพัฒนา